เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถือเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน
และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับ
เพราะเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นสะท้อนถึงธรรมาภิบาลและความเป็นประชาธิปไตยของประเทศหรือองค์กรนั้นๆ
เพราะผู้ปกครองที่เปิดใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็น การวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชน
หรือคนในองค์กรทั้งด้านบวกและด้านลบแล้ว ย่อมเป็นโอกาสในการนำไปปรับปรุงประเทศ
องค์กร และตนเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
หน่วยงานภาครัฐ
และนักการเมือง เจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้าราชการถือเป็นบุคคลสาธารณะ (Public figure) กล่าวคือเป็นบุคคลที่ให้บริการสาธารณะหรือเกี่ยวข้องกับประชาชนในฐานะที่เป็นข้าราชการประจำ
เช่น ข้าราชการฝ่ายปกครอง ข้าราชการทหาร ข้าราชการตำรวจ ข้าราชการตุลาการ
ข้าราชการครู หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่สังกัดส่วนราชการต่างๆ
เพราะนโยบายหรือการปฏิบัติงานของเขากระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนโดยทั่วไป
การเป็นองค์กรและบุคคลสาธารณะประชาชนย่อมมีสิทธิที่จะวิพากษ์วิจารณ์โดยชอบตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนด
และหน่วยงาน/บุคคลก็มีสิทธิอันชอบธรรมที่จะชี้แจงให้ผู้แสดงความคิดเห็น
วิพากษ์วิจารณ์นั้นรับทราบข้อเท็จจริงตามที่เห็นสมควร
แต่การแสดงความคิดเห็นใดๆ ก็พึงระวังให้การแสดงความเห็นเป็นไปโดยชอบตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยคำนึงว่าความคิดเห็น ที่แสดงออกไปนั้น โดยเฉพาะที่แสดงผ่านทางเว็บไซต์ควรงดเว้น การใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
กรณีศึกษา:อียู จัดเสวนา ศึกษากรณี มาตรา 112
แต่การแสดงความคิดเห็นใดๆ ก็พึงระวังให้การแสดงความเห็นเป็นไปโดยชอบตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งให้การรับรองและคุ้มครองไว้ในฐานะสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยคำนึงว่าความคิดเห็น ที่แสดงออกไปนั้น โดยเฉพาะที่แสดงผ่านทางเว็บไซต์ควรงดเว้น การใช้คำหยาบคาย ส่อเสียด ดูหมิ่น กล่าวหาให้ร้าย สร้างความแตกแยก หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
แหล่งที่มา
กรณีศึกษา:อียู จัดเสวนา ศึกษากรณี มาตรา 112
สหภาพยุโรป ประจำประเทศไทย จัดเสวนา
"การสร้างความปรองดองและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น"
โดยยกกรณีกฎหมายอาญามาตรา 112 ในการตัดสินคดีของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข
ขึ้นมาแสดงความคิดเห็น
นายเดวิด ลิปแมน หัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรป ประจำประเทศไทย
กล่าวว่าการจัดงานเสวนาครั้งนี้
เพื่อแสวงหาความร่วมมือกับประเทศไทยในการยกระดับมาตรฐานสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตย
และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งถือว่าเป็นหลักการสากล ที่สหภาพยุโรปให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
โดยประเทศไทย ก็ได้แสดงท่าทีที่ให้ความสำคัญกับการยกระดับสิทธิเสรีภาพในประเทศ
จึงเกิดเป็นความร่วมมือกันในครั้งนี้ขึ้นมา
หัวหน้าคณะผู้แทนสหภาพยุโรป ประจำประเทศไทย
ยืนยันว่าไม่ได้มีภารกิจที่จะแทรกแซงกิจการภายในของไทย
แต่ต้องการเน้นการแสวงหาความร่วมมือ โดยต้องการส่งเสริมการพูดคุยและถกเถียง
เกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นให้มากขึ้น
โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยสหภาพยุโรป
ซึ่งมีประเทศสมาชิกหลายประเทศ
เคยผ่านประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหาเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมาก่อน
จึงยินดีที่จะร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับประเทศไทย
เพื่อแก้ไขปัญหาสิทธิเสรีภาพในประเทศไทยร่วมกัน
ด้านนายประวิทย์ โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโส สำนักพิมพ์เนชั่น
แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีกฎหมายอาญามาตรา 112 ถึงการตัดสินคดีของนายสมยศ
พฤกษาเกษมสุข ซึ่งเพิ่งถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 11 ปี
โดยเห็นว่า กรณีที่องค์กรระหว่างประเทศต่างๆ รวมถึงสภาพยุโรป แสดงความกังวลมานั้น
เป็นเพราะการตัดสินครั้งนี้ กระทบต่อสถานะของเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
และเสรีภาพของสื่อมวลชนอย่างมาก
ทั้งนี้
ในการเสวนาได้มีการอภิปรายกันถึงความสำคัญของสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน
ซึ่งมีแนวโน้มถดถอยลง จากการถูกปิดกั้น แทรกแซง
รวมถึงการดำเนินคดีต่อการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างกัน โดยอาศัยกฎหมายพิเศษเช่นกฎหมายอาญามาตรา
112 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น